ฤดูร้อนของประเทศไทยมาพร้อมกับแสงแดดอันสดใสก็จริง แต่ก็มาพร้อมกับอุณหภูมิที่ร้อนจัด สำหรับใครที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวัง อาการโรคลมแดด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ร้ายแรง
ชวนมาเจาะลึกกันว่า ร่างกายของเราตอบสนองต่อความร้อนอย่างไร, ใครบ้างที่เสี่ยงต่ออาการนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีคลายร้อนและป้องกันโรคลมแดด
ทำความเข้าใจโรคลมแดด¹
โรคลมแดด เกิดขึ้นเมื่อร่างกายร้อนเกินไปและไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ เพราะโดยปกตินั้นเมื่อเราเคลื่อนไหวร่างกาย หรือสัมผัสอากาศร้อน ร่างกายจะสร้างความร้อน และจะขับเหงื่อระบายความร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อการขับเหงื่อไม่เพียงพอ หรือร่างกายไม่สามารถระเหยเหงื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากความชื้นในอากาศสูง ความร้อนจะถูกกักเก็บไว้ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุณหภูมิร่างกายนี้ จะส่งผลต่ออวัยวะและการทำงานที่สำคัญ นำไปสู่ภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ดัดแปลงจาก กรมอุตุนิยมวิทยา
บทบาทของดัชนีความร้อน²𝄒³
ดัชนีความร้อน คืออุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกตามความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิอากาศและความชื้น หากอธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ อุณหภูมิที่ร่างกายของเรารับรู้ได้ในขณะนั้น ๆ เช่น อุณหภูมิ 35°C (95°F) ที่มีความชื้น 60% รู้สึกอากาศร้อนกว่า 35°C ที่มีความชื้น 30% เนื่องจากความชื้นที่สูงขึ้น ทำให้เหงื่อระเหยออกได้ยาก ส่งผลต่อกลไกการระบายความร้อนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยดัชนีความร้อนเป็นค่าที่ใช้ประยุกต์สำหรับพื้นที่ร่ม ซึ่งหมายความว่า อาจเกิดอันตรายจากความร้อนมากขึ้นหากสัมผัสกับแสงแดดในขณะนั้น
การค้นหาดัชนีความร้อน เพื่อรับมือกับหน้าร้อนเมืองไทย
ในเมื่อดัชนีความร้อน คือค่าที่คำนวณจากอุณหภูมิและความชื้น ซึ่งบ่งบอกว่าร่างกายเรา "รู้สึก" ร้อนแค่ไหน การรู้ค่าดัชนีความร้อนจึงมีความสำคัญ มาดูวิธีการค้นหาและการตีความกัน!
ขั้นตอนการค้นหาดัชนีความร้อน
- เข้าไปที่เว็บไซต์: https://www.accuweather.com/en/th/bangkok/318849/current-weather/318849
- ดูค่า Real feel ในพื้นที่ของท่าน นั่นคือดัชนีความร้อนในพื้นที่ที่ท่านอยู่
การแปลความหมายดัชนีความร้อน
กรมอุตุนิยมวิทยา ของประเทศไทยแบ่งระดับความรุนแรงของดัชนีความร้อนเป็น 4 ระดับ ดังนี้
25-32.9 °C (สีเขียว): ถ้าทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ท่ามกลางอากาศร้อนระดับนี้ จะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
33-41.9 °C ควรระวัง (สีเหลือง): เกิดอาการตะคริวจากความร้อน และอาจเกิดอาการเพลียแดด ถ้าสัมผัสอากาศร้อนเป็นเวลานานหากออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำเกลือแร่ ทาครีมกันแดด และสวมหมวก
42-51.9 C อันตราย (สีส้ม): มีอาการตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้องและไหล่ ปวดเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเป็นลมแดดได้ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง เว้นแต่จำเป็น พักผ่อนในสถานที่เย็น
52 °C ขึ้นไป วิกฤต (สีแดง): เกิดภาวะลมแดด ตัวร้อน ตัวร้อน เวียนศีรษะ หน้ามืด ซึมลง ระบบอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว อาจเสียชีวิตได้ ถ้าสัมผัสอากาศร้อนมากติดต่อกัน ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งโดยเด็ดขาด
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอ
- ท่องให้ขึ้นใจเลยว่าช่วงเวลาที่มีแดดแรงที่สุด คือระหว่าง 10.00 - 16.00 น. ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท
ปัจจัยเสี่ยงของโรคลมแดด⁵
บุคคลบางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อโรคลมแดดมากกว่า เนื่องจากสรีรวิทยาหรือภาวะสุขภาพ ดังนี้
ทารกและเด็กเล็ก: ร่างกายยังอยู่ในวัยเจริญเติบโตและไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วและอาจไม่รู้จักสัญญาณของความกระหายน้ำ
ผู้สูงอายุ: ร่างกายอาจตอบสนองต่อความร้อนได้ไม่ดีนัก เนื่องจากกระบวนการตามธรรมชาติของวัยชราหรือยาบางชนิด อาจเคลื่อนไหวได้น้อยลงหรือมีปัญหาในการแสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนว่าไม่สบาย
ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ภาวะสุขภาพที่แฝงอยู่ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคไต สามารถทำให้ผลกระทบของโรคลมแดดรุนแรงขึ้น
ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (ยาขับน้ำ) หรือยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด ยาแก้แพ้บางชนิด อาจส่งผลต่อการขับเหงื่อหรือความไวต่อความร้อน
อาการของโรคลมแดด: ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นรุนแรง¹
อาการโรคลมแดดไม่ได้เป็นรุนแรงในทันที แต่เป็นอาการที่รุนแรงขึ้นตามลำดับจากโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนที่ไม่รุนแรง การสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคลมแดด ต่อไปนี้คือ รายละเอียดของอาการตามลำดับ:
ตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps): อาการนี้เป็นตะคริวหรือการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ปวดร้าว ซึ่งมักเกิดขึ้นที่ขาและหน้าท้อง ระหว่างหรือหลังจากออกแรงหนักในสภาพอากาศร้อน เป็นสัญญาณว่าร่างกายของคุณกำลังสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ผ่านทางเหงื่อ อาการต่าง ๆ ได้แก่
- ตะคริวที่กล้ามเนื้อรุนแรง โดยเฉพาะที่ขาและหน้าท้อง
- เหงื่อออกมาก
ภาวะเพลียแพ้ร้อน (Heat Exhaustion): เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อภาวะขาดน้ำและร้อนเกินไป ซึ่งรุนแรงกว่าตะคริวจากความร้อน และอาจลุกลามเป็นโรคลมแดดได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาการต่าง ๆ ได้แก่
- เหงื่อออกมาก
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือเวียนหัว
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- ปวดหัว
- ตะคริว
- ผิวหนังเย็น ซีด และชื้นแฉะ
- ชีพจรเร็วและเบา
อาการเตือนของโรคลมแดด⁴
หากภาวะหมดน้ำจากความร้อนไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามเป็นโรคลมแดด ควรเฝ้าระวังสัญญาณรุนแรงเหล่านี้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที โดยอาการเตือนที่คุณอาจเป็นลมแดด มีดังนี้
1. อุณหภูมิร่างกายสูง สูงกว่า 40°C (104°F) เป็นสัญญาณที่รุนแรง แต่แม้จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย (38°C หรือ 100.4°F) ร่วมกับอาการอื่น ๆ ก็อาจน่าเป็นห่วง
2. สับสน เวียนหัว หรือปวดหัว อาจบ่งบอกถึงภาวะสมองเสื่อมเนื่องจากร่างกายร้อนเกินไป
3. คลื่นไส้หรืออาเจียน ร่างกายอาจพยายามขับเหงื่อออกมากเกินไปเพื่อระบายความร้อน
4. ผิวหนังแดงก่ำและแห้ง เป็นสัญญาณว่าร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อและระบายความร้อนได้
5. หายใจเร็วและตื้น เป็นความพยายามของร่างกายที่จะเพิ่มการรับออกซิเจนเพื่อชดเชยภาวะเครียด
6. ชักหรือหมดสติ เป็นอาการรุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ทันที
ป้องกันโรคลมแดด⁵
การเตรียมพร้อมล่วงหน้าสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคลมแดดให้ตัวคุณเองและคนที่คุณรักได้อย่างมาก ชวนอ่านเคล็ดลับเฉพาะเพื่อการป้องกันกันต่อ
ควรออกกำลังกายกลางแจ้งช่วงเช้าตรู่หรือเย็น: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือทำงานกลางแจ้งในช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน
สวมใส่เสื้อผ้าระบายอากาศและหมวก: เลือกเสื้อผ้าหลวม เบา สบาย สีอ่อน ทำจากผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือลินิน สวมหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันศีรษะและใบหน้าจากแสงแดด
พักเป็นระยะ ๆ ในสถานที่มีเครื่องปรับอากาศหรือร่มเงา: หากอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรหาที่พักในสถานที่มีเครื่องปรับอากาศหรือใต้ร่มเงา
ติดตามดัชนีความร้อนและวางแผนกิจกรรม: ควรทราบค่าดัชนีความร้อน และปรับกิจกรรมตามความเหมาะสม ยิ่งดัชนีความร้อนสูง ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความร้อน และวางแผนการทำกิจกรรมในแต่ละวันให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมาก
ช่วยให้เย็นด้วยเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม: หากไม่มีเครื่องปรับอากาศ ให้ใช้พัดลมและผ้าเย็นชื้นช่วยคลายความร้อน
กระตุ้นให้ดื่มน้ำเสมอ: แม้ไม่กระหายน้ำ ร่างกายสามารถสูญเสียน้ำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรแนะนำให้จิบน้ำเย็น เป็นประจำตลอดทั้งวัน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากหรือมีน้ำตาลเพราะอาจทำให้ร่างกายเสียน้ำทางปัสสาวะมากขึ้น
ดูแลคนกลุ่มเปราะบางและมีความเสี่ยง: เป็นเรื่องสำคัญที่ให้ความสนใจและดูแลคนกลุ่มเปราะบางและมีความเสี่ยงต่อโรคลมแดด เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีความปลอดภัย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นกรณี โรคลมแดด⁴
หากสงสัยว่าใครสักคนกำลังเป็นโรคลมแดด การดำเนินการทันทีเป็นสิ่งสำคัญ ดังนี้
โทรเรียกทีมแพทย์ฉุกเฉินทันที: ห้ามรอช้าในการขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นำผู้ป่วยไปยังสถานที่เย็นและร่ม: พาออกจากแสงแดดโดยตรง ถ้าเป็นไปได้ ให้เข้าไปพักในสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม
เรียบเรียงโดย : รศ. นพ.สัมมน โฉมฉาย ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เอกสารอ้างอิง 1. Hifumi, T., Kondo, Y., Shimizu, K., & Miyake, Y. (2018). Heat stroke. Journal of intensive care, 6, 30. https://doi.org/10.1186/s40560-018-0298-4กรมอุตุนิยมวิทยา. Heat Index R&D TMD (2567, มีนาคม, 20) 2. NGThai. ดัชนีความร้อน ค่าอุณหภูมิความร้อนที่มนุษย์สัมผัสได้จริง. National Geographic Thailand. Published May 30, 2023. Accessed March 22, 2024. https://ngthai.com/science/49066/heat-index/ 3. Heat Index R&D TMD. http://www.rnd.tmd.go.th/heatindexanalysis/ 4. “Heatstroke” โรคอันตรายในหน้าร้อน. โรงพยาบาลเปาโล - Paolo Hospital. Published May 11, 2023. Accessed March 22, 2024. https://www.paolohospital.com/th-TH/samut/Article/Details/Heatstroke 5. โรคลมแดด (Heat stroke) สําหรับประชาชน | คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี. Published April 11, 2023. Accessed March 22, 2024. https://www.rama.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/content/25042023-1414-th
NP-TH-NA-WCNT-240007