line
เมนู
รู้แล้วยัง

How to ขับขี่ปลอดภัย สไตล์วัย 50+

ขับรถปลอดภัย สุขใจ ลูกหลานคลายกังวล
แชร์บทความนี้
line
line
line

ไม่ว่าใครก็ชอบเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะวัย 50+ ที่ยังคงมีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ ชื่นชอบการท่องเที่ยวหรือพึ่งพาตัวเอง เดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง การขับรถส่วนตัวนับเป็นอีกหนึ่งวิธีการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว และได้รับความนิยมในกลุ่มช่วงวัยนี้ แต่การให้วัย 50+ ขับรถด้วยตัวเองยังคงปลอดภัยเหมือนวัยหนุ่มสาวหรือไม่ หรือนับเป็นความเสี่ยงบนท้องถนนที่ใครหลายคนเป็นห่วง มาหาคำตอบไปพร้อมกัน¹

วัย 50+ ขับรถด้วยตัวเอง ปลอดภัยจริงหรือไม่?¹

วัย 50+ ถือเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายในขณะขับขี่รถยนต์ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วช่วงวัยนี้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่น้อยกว่าคนหนุ่มสาว เนื่องจากวัย 50+ มักขับรถช้ากว่า มีประสบการณ์การขับขี่ที่มากกว่า มักคาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ แต่วัย 50+ คนไหนที่มีพฤติกรรมชื่นชอบการขับรถเร็ว โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะยิ่งพุ่งสูงกว่าคนหนุ่มสาวได้ทันที เพราะเป็นช่วงวัยที่สภาพร่างกายเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการขับขี่รถยนต์ทั้งสิ้น

7 กลุ่มโรคเสี่ยงก่ออุบัติเหตุจากการขับขี่¹

แม้จะระมัดระวังสุดชีวิต แต่โรคต่าง ๆที่เกิดขึ้นในวัย 50+ ก็มีส่วนในการทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ขอยกตัวอย่างโรคเด่น ๆ ที่มีผลกระทบชัดเจนดังนี้

1. โรคตาชนิดต่าง ๆ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ทำให้ขับรถในเวลาโพล้เพล้หรือตอนกลางคืนแล้วมองไม่ชัด
2. โรคสมองเสื่อม เฉพาะผู้ที่มีอาการระยะเริ่มแรก มักมีอาการหลงลืม ขับรถหลงทาง เลี้ยวผิดเลี้ยวถูก การตัดสินใจและสมาธิไม่ดี
3. โรคอัมพฤกษ์จากโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้แขนขาไม่มีแรงที่จะขับรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกหรือเปลี่ยนเกียร์ได้ดี รวมทั้งความไวของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ลดลง
4. โรคพาร์กินสัน มีอาการแข็งเกร็ง มือสั่น เท้าสั่น ทำให้ขับรถได้ไม่ดี
5. โรคลมชัก เมื่อมีอาการชัก จะเกร็ง กระตุก ไม่รู้สึกตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
6. โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่าง ๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เหยียบเบรกได้ไม่เต็มที่ ข้อเท้าอักเสบ ปวด จากโรคเก๊าท์ ทำให้ขยับลำบาก โรคกระดูกคอเสื่อม ทำให้ปวดคอ เอี้ยวคอดูการจราจรได้ลำบาก หรือมีอาการปวดหลัง จากกระดูกหลังเสื่อม ทำให้นั่งขับรถได้ไม่นาน
7. โรคอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ ทำให้อาจมีอาการแน่นหน้าอกเมื่อขับรถนาน ๆ โรคเบาหวาน ทำให้มีอาการหน้ามืด ใจสั่น ตาพร่า ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำลง

นอกจากกลุ่มโรคทั้ง 7 แล้ว เรื่องยาก็มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการขับขี่เช่นกัน เพราะวัย 50+ ส่วนใหญ่ต้องกินยาโรคประจำตัว บางชนิดมีผลทำให้ง่วงซึม เช่น ยาแก้เวียนศีรษะ ยาลดน้ำมูก ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น ทำให้ง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ และทำให้การตัดสินใจ สมาธิ และความรวดเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินไม่ดีนัก¹

5 ทริคสำหรับวัย 50+ ขับขี่ปลอดภัย

แม้ว่าวัย 50+ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถยนต์ได้ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถขับรถยนต์ได้เองเลย หากมีสภาพร่างกายแข็งแรง มีความสามารถขับรถได้ดีอยู่แล้วก็สามารถขับรถยนต์เองได้ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามเช็กลิสต์เหล่านี้เป็นประจำ¹

1. หมั่นตรวจสุขภาพสายตาและการได้ยินเป็นประจำ²˒³

ประสาทตาและหูมักจะแปรผกผันกับอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าการทำงานของตาและหูช้าลงหรือแย่ลงจนไม่ได้ยินเสียงรถที่กำลังพุ่งมา หรือเสียงบีบแตร คงไม่ใช่เรื่องดี และโรคทางสายตาในผู้สูงอายุ อาจทำให้มองในที่มืดได้ไม่ชัดเจนจนเป็นปัญหาในการขับรถตอนกลางคืน จึงควรหมั่นตรวจสุขภาพสายตาและการได้ยินเป็นประจำทุกปี

2. ดูแลและจัดการโรคเรื้อรัง¹˒³

ปรึกษาและพบแพทย์เป็นประจำเพื่อรับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคที่อาจส่งผลต่อการขับรถได้ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการชัก นอกจากนั้นการรู้จักยาของตนเองยังสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือ ยาต้านภูมิแพ้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขับรถได้

3. ตรวจความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ²

การขับรถนั้นใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย หากมีกล้ามเนื้อส่วนใดบาดเจ็บควรหยุดขับรถเสียก่อน รอให้กล้ามเนื้อหายดีจึงค่อยกลับมาขับก็ไม่สาย เพราะหากบาดเจ็บจะทำให้ปฏิกิริยาการตอบสนองช้าลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

4. รู้ลิมิตของตนเอง³

รู้ว่าเมื่อใดร่างกายกำลังแสดงอาการผิดปกติ และเลือกใช้สิ่งที่ช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้น เช่น หากเริ่มมีอาการเจ็บมือ ลองเลือกใช้ที่ครอบพวงมาลัยรถเพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้สบายมากขึ้น หรือลองหาวิธีแก้ไขปัญหาอื่น ๆ เช่น เลือกใช้รถที่ช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้น อย่างรถที่มีหน้าจอสัญญาณที่ใหญ่กว่าปกติ

5. เลือกขับรถเวลาที่มองเห็นได้ชัดเจน¹˒³

เพิ่มความปลอดภัยได้มาก หากเลือกขับรถในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่มองเห็นรถและทางได้อย่างชัดเจน เลือกช่วงเวลาที่อากาศดี ถนนมีรถไม่มากนัก หรือขับในเส้นทางที่คุ้นเคย หากสภาพอากาศหรือเส้นทางไม่เป็นใจ ควรเลี่ยงการขับรถเอง

ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าเรื่องของอายุไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการขับรถอย่างที่ใครหลายคนคิด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสภาพร่างกาย หากวัย 50+ คนไหนทำได้ตามเช็กลิสต์ดังกล่าวก็จอย ๆ กับการขับรถอย่างสุขเสรีได้ไม่เกินจริง

เรียบเรียงโดย : จีเอสเค

เอกสารอ้างอิง:
1. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. (2559, ตุลาคม, 19) ผู้สูงอายุกับการขับรถ. From: https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=417 (Access Nov 2025)
2. ผู้สูงอายุขับรถได้หรือไม่ ขับขี่อย่างไรจึงปลอดภัย? - Modernform Health & Care from: https://modernformhealthcare.co.th/can-elderly-drive-how-to-drive-safely/ (Access Nov 2025)
3. 7 วิธีขับรถให้ปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่สูงอายุ from: https://www.roojai.com/article/road-tips/7-tips-old-drivers/ (Access Nov 2025)

Non-Promotional Material
NP-TH-NA-WCNT-250029 | Nov 2025

GSK ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของท่านและเราให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยความระมัดระวัง
หากท่านต้องการทราบถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เราเก็บ และวิธีการที่เราเก็บข้อมูลเหล่านั้น ท่านสามารถศึกษาได้จาก ประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว